วันศุกร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2553

ผมยอมรับได้นะครับ หากรัฐบาลตกลงจะยุบสภาภายใน 3 เดือน เพื่อยกระดับสงครามทางความคิด

บท ความโดยลูกชาวนาไทย

หลาย ฝ่ายอาจวิจารณ์ว่า เป้าหมายการให้ "ยุบสภา" เป็นเป้าหมายที่เล็กและไม่เหมาะสม โดยเฉพาะฝ่ายแดงฮาร์ดคอร์ทั้งหลาย แต่หากคิดให้ลึกซึ้งการยุบสภา เป็นเป้าหมายทาง "ยุทธวิธี" เท่านั้น ไม่ใช่เป้าหมายทางยุทธศาสตร์แต่อย่างใด เป้าหมายทางยุทธศาสตร์คือ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองไทยให้เป็นประชาชธิปไตยที่สมบูรณ์

แต่ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองใด ๆ ได้จะต้องมีการเปลี่ยนแปลง "โครงทางทางความคิด" ของประชาชนในสังคมนั้นเสียก่อน เพราะหากโครงสร้างทางความคิดของผู้คนยังไม่เปลี่ยนแปลง แม้จะมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางการเมืองอย่างไร มันก็ไม่มีประโยชน์แต่อย่างใด ดูได้จาก ประเทศไทยเปลี่ยนจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิ์ราชย์ มาเป็นประชาธิปไตย กว่า 78 ปีแล้ว แต่คนไทยที่ยังนับถือ "ระบอบซาบซึ้ง" อยู่ ในที่สุดประเทศไทย ก็ยังเป็นระบอบ "เทวราชา" หรือระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ในความคิดของผู้คนอยู่ หาได้เป็นประชาธิปไตย แต่อย่างใดไม่

อำนาจ ของราชสำนัก และเครือข่ายของคนที่อยู่ใกล้ชิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ยังคงมีมากมายเหนือรัฐธรรมนูญอยู่ แม้ ว่าจะมีรัฐธรรมนูญลายลักษณ์อักษรที่เป็นประชาธิปไตย แต่ "รัฐธรรมนูญทางจิตใจ" ก็ยังเป็นระบอบราชาธิปไตยอยู่

เมือง ไทย เลยไม่ได้มีประชาธิปไตย แต่อย่างใด



แต่สามปีมานี้ โครงสร้างทางความคิดของผู้คนเปลี่ยนแปลงไปมาก มากกว่าที่เคยเปลี่ยนแปลงมา 75 ปี ก่อนหน้านี้ "รัฐธรรมนูญทางจิตใจ" ของประชาชนได้เปลี่ยนจากระบอบราชาธิปไตยไปแล้ว และหน่อของระบอบประชาธิปไตยได้เติบโตขึ้นแล้ว ระบอบซาบซึ้ง ได้ตายสนิทของไปแล้ว "รัฐธรรมนูญลาลลักษณ์อักษร” ในที่สุดแล้วก็จะเปลี่ยนแปลงตามมาในที่สุด


ดังนั้น การเจรจากับรัฐบาลชองแกนนำเสื้อแดงครั้งนี้ ระหว่างคุณวีระ คุณจตุพร และ คุณหมอเหวง หากมีข้อสรุปว่า จะมีการยุบสภาในเงื่อนไขเวลาใด เช่น 3 เดือน ผมก็ยอมรับได้ เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของเราคือ “ต้องการยกระดับสงครามขึ้นไปสู่การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางจิตใจ” ของประชาชน

ไม่ต้องกลัวว่า รัฐบาลจะโกหก เพราะเราสามารถนัดชุมนุมใหญ่ได้อีกครั้งหนึ่งเมื่อเงื่อนไขเวลานั้นมาถึง เพื่อที่จะทวงถาม

ในระหว่างนี้ คนเสื้อแดงจะได้เดินยุทธวิธี การจัดตั้งเครือข่ายต่อไป โดยใช้ โรงเรียน นปช. เป็นแกนหลักในการจัดตั้งเครือ ข่ายติดอาวุธทางความคิด และให้ผู้ที่เข้ามาร่วมชุมนุมทั้งหมดแปรสภาพเป็น “ผู้ปฎิบัติงานทางความคิด” ของคนเสื้อแดงต่อไป

ต้องยอมรับว่า สงครามนี้เป็น “สงครามยืดเยื้อ” การต่อสู้กับอาณาจักรเทพเจ้า ต้องทำลายความศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และอุปสรรคทางด้านจิตใจให้หมดเสียก่อน

ก็อย่างที่ผมเคย เขียนบทความไว้ว่า แนวรบของคนเสื้อแดงมี 2 แนวรบ ที่ไม่ประสานงานกัน คือ แนวรบบนดินของ นปช. และแนวรบใต้ดินต่างๆ เช่น นปช.ยูเอสเอ+ชูพงษ์ เป็นต้น ผมให้น้ำหนักของแนวรบใต้ดินในการทำสงครามทางความคิด ต่าง ๆ เช่น การแจกซีดี หรือ เผยแพร่ความคิดผ่านช่องทางต่างๆ แนวรบนี้เป็นการมุ่งทำลาย “อาณาจักรเทพเจ้า” และความศักดิ์สิทธิ์ลง และมุ่งสถาปนา “รัฐธรรมนูญทางจิตใจ” ของผู้คนให้สมบูรณ์

ส่วนแนวรบบนดินนั้น มุ่งสร้างเครือข่ายการจัดตั้ง และผู้ปฎิบัติงานต่างๆ ของคนเสื้อแดง เพื่อเอาชนะทางการเมืองอาจจะผ่านการเลือกตั้งหรืออย่างอื่นก็ตามแต่มันคือ พรรคการเมืองมวลชนของคนเสื้อแดง

เมื่อกำลังการจัด ตั้งสมบูรณ์ การสถาปนารัฐธรรมนูญทางจิตใจสมบูรณ์ ชัยชนะทางการเมือง ก็มองเห็นได้อยู่แล้ว เพราะประเทศไทยได้เปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางความคิดไปแล้ว โครงสร้างทางการเมือง ก็จะเปลี่ยนแปลงตามมาในที่สุด

การเปลี่ยนแปลงใหญ่ ใดๆ ต้องการเวลา การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยในขณะนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงแบบถอนรากถอนโคน ไม่มีที่ทางให้กับระบอบซาบซึ้งอีกต่อไป ก็ต้องการเวลาสำหรับการเปลี่ยนโครงสร้างทางความคิดของผู้คนอีกต่อไป

เครือข่ายของคน เสื้อแดง ซึ่งในขณะนี้ ผมคิดว่ามีความสมบูรณ์มากแล้ว แม้แต่โครงสร้างทางความคิดของคนเสื้อแดงที่เข้ามาร่วมชุมนุมจะเปลี่ยนแปลง มากแล้ว แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์อย่างแท้จริง บางคนก็ยังไม่ตาสว่างอย่างแท้จริง แต่ก็พอจะทราบข้อมูลมากแล้ว เพราะการชุมนุมที่ผ่านมา16 วัน การไหลเวียนของข้อมูลในระดับวงการสนทนา ย่อยนั้น มีมากมายมหาศาลแล้ว และรู้ว่า “ใครคือตัวปัญหาที่แท้จริงในขณะนี้แล้ว”

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

"ความล่มสลายของการศึกษาไทย: จากรากหญ้าสู่รากฝอย"




เมื่อช่วงต้นปีผมได้รับหนังสือเล่มหนึ่งเป็นของขวัญปีใหม่ นั่นคือวารสารศิลปศาสตร์ ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๑ ในนั้นมีบทความเรื่อง "ความล่มสลายของการศึกษาไทย: จากรากหญ้าสู่รากฝอย" ของ วรินทร วูวงศ์ อาจารย์ภาคญี่ปุ่น คณะศิลปฯ ธรรมศาสตร์ เป็นบทความที่วิจารณ์ระบบการศึกษาไทยอย่างไม่ปรานีปราศรัย มีข้อความอยู่ตอนหนึ่งที่อ่านแล้วกระทบใจจนเป็นที่มาของบทความนี้ ดังว่า

"เมื่อดูสิ่งที่ติดในห้องเรียนจะพบว่าโรงเรียนตะวันตกหล่อ หลอมเด็กด้วยสิทธิและหน้าที่ โรงเรียนญี่ปุ่นหล่อหลอมเด็กด้วยเป้าหมาย ทั้งสองโรงเรียนมีจุดร่วมกันคือ การหล่อหลอมเด็กอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อให้รู้จักการอยู่ร่วมกันกับผู้อื่นใน สังคม ในขณะที่โรงเรียนไทยหล่อหลอมเด็กด้วยรูปชาติ รูปศาสนา รูปพระมหากษัตริย์..."

ไม่เพียงข้อเท็จจริงนี้จะกระทบใจอย่างรุนแรงเท่านั้น หากเมื่อได้อ่านทบทวนดีๆ และคิดย้อนต้นไปพิจารณาความเป็นจริงของสังคมไทยแล้ว ก็จะพบความน่าสลดสังเวชน่าสิ้นหวังของสังคม ซึ่งทำให้ผมทั้งอึ้ง จุก โกรธแค้น "ความเป็นไป" ของสังคมนี้อย่างยิ่ง

ผมอยากจะเรียกสภาพที่จะพูดถึงต่อไปนี้ว่าเป็น "ความ ว่างเปล่าใต้ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" สามสิ่งนี้เป็นรูปลักษณ์ของวาทกรรม/อุดมการณ์บางอย่างที่ฝังตัวอยู่ในสังคม ไทย ซึ่งมันผูกมัดวิธีคิดวิถีปฏิบัติของคนไทยไว้อย่างไร้แก่นสารยิ่ง เราจะพบว่าสังคม (โดยเฉพาะในโรงเรียน) พยายามที่จะปลูกฝังสำนึกแห่งการเชิดชูเจ้าสามสิ่งนี้อย่างเข้มข้น ราวกับว่ามันคือจุดหมายสูงสุดของสังคม เป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง ขาดไม่ได้ในสังคมไทย แต่เมื่อกระชากหน้ากากที่ปิดบังความว่างเปล่านั้นออก เราก็จะพบว่ามันกลวงโบ๋ ไม่เชื่อมโยงอะไรกับชีวิตทางสังคม และยิ่งไม่ให้อะไรเลยกับการพัฒนาประเทศ

เพราะอะไรเล่าประเทศที่เชิดชูชาติและสถาบันของชาติอย่างเกร่อล้นกลับไม่ พัฒนาไปไหนสักที ก็เพราะเราพูดถึงชาติ ความรักชาติ ในบริบทของความล้าหลัง เมื่อพูดถึงชาติจะพบชุดปริจเฉท (Discourse) ที่ซ้ำซากคาดเดาได้ เช่น ตายเพื่อชาติ ไปเป็นทหาร บรรพบุรุษของเราแต่โบราณ และภาพลักษณ์ที่นึกถึงก็คือพระนเรศวร พระเจ้าตาก สุริโยไท พม่า ขี่ช้างไปรบ บลาๆ นี่คืออุดมการณ์ที่สร้างให้ชาติเป็น Imagined Community อันแสนศักดิ์สิทธิ์ แต่ช่างเลื่อนลอย กลวงโบ๋ ไม่เชื่อมโยงอะไรกับสังคมและการกระทำในสังคมได้เลย เราพร่ำพูดเรื่องชาติ แต่สังคมที่ดีงามกลับไม่มีตัวตน เราพูดเรื่องตายเพื่อชาติ แต่ไม่พูดถึงการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การเคารพสิทธิกันและกัน การรู้จักหน้าที่พลเมือง ตายเพื่อชาติได้ แต่ทิ้งขยะลงถังไม่ได้ เคารพกฎหมายไม่เป็น เราพูดถึงชาติเพื่อสร้างความเป็นหนึ่งเดียว แต่ความเป็นหนึ่งเดียวจะเกิดไม่ได้ถ้าไม่มีพม่า มีสิงคโปร์ มีเวียดนาม มีฝรั่งมาเป็นคู่แย้ง พออยู่ร่วมกันในสังคมก็แบ่งแยก กดขี่ เอาเปรียบกันในทุกชนชั้น เคารพกันที่อำนาจ มองอำนาจเป็น Absolute Right ถ้ามีอำนาจสูงกว่าจะทำเลวทรามต่อคนที่ด้อยกว่าอย่างไรก็ได้โดยไม่ผิด

เมื่อพูดถึงศาสนาอันเป็นหนึ่งในตรีเอกานุภาพแห่งความว่างเปล่านี้ เราจะพบว่ามันถูกทำให้เป็นเรื่องศักดิ์สิทธิ์ เน้นพิธีการ และมีลักษณะที่เชิดชูพุทธศาสนาในเชิงการสร้างเอกลักษณ์ แต่ศักยภาพของศาสนาที่เป็นเครื่องมือในการประสานสังคมให้อยู่ร่วมกันอย่าง สงบสุขกลับถูกปลูกฝังอย่างแกนๆ ศาสนากลับเป็นเรื่องของรูปพระพุทธรูป พระพุทธเจ้าเดินได้ ๗ ก้าวตอนเกิด มาฆบูชา วิสาขบูชา อาสาฬหบูชา สังคมไทยภูมิใจในศาสนาพุทธมาก แต่เราก็แกล้งขยิบตาให้กันเสมอๆ เมื่อต้องการทำเรื่องผิดศีลธรรม มโนธรรม ศาสนากลายเป็นเครื่องมือในการเอาตัวรอดของปัจเจกในระบบทุน เช่น ไปวัดขอพรให้รวย ทำบุญเพื่อจะได้ไม่ตกยาก ฯลฯ ผมนึกประหลาดใจอยู่เหมือนกัน ว่าทำไมสถาบันศาสนาที่ปลูกฝังกันตั้งแต่โรงเรียน แต่กลับมีอิทธิพลในเชิงวิถีชีวิตน้อยมาก ศีลธรรมกลายเป็นเครื่องมือของพวกผู้ปกครองและศักดินา เกิดความลักลั่นในเชิงคุณค่าเต็มไปหมด และในสังคมที่อวดอ้างการเป็น "พุทธประเทศ" ใยจึงไม่ปรากฏการผูกโยงและจัดโครงสร้างทางสังคมที่ดีจริงด้วยศาสนาเลย หรือว่าสถาบันศาสนาของไทย เมื่อก้าวไปสู่การธำรงสังคมแล้ว มันก็ล้มเหลวไม่ต่างจากสถาบัน/อุดมการณ์เรื่องชาติเลยแม้แต่น้อย

สุดท้ายคือพระมหากษัตริย์ ในปัจจุบันเป็นวาทกรรม/อุดมการณ์ที่ถูกผลิตซ้ำอย่างมโหฬาร เข้มข้น ท่วมล้นไปทุกอณูของสังคม และก็อีกเช่นกัน สถาบันการศึกษาก็เป็นตัวจักรสำคัญในการปลูกฝังอุดมการณ์อันแสนจะจำเป็นต่อ การเป็นคนไทยนี้อย่างเข้มแข็งและแข็งขัน แต่หากเราพิจารณาให้ลึกซึ้งด้วยเป้าหมายและแก่นสารแล้วก็จะพบความว่างเปล่า ของอุดมการณ์นี้ สังคมไทยกำหนดให้สถานบันกษัตริย์เป็นเป้าหมายของสังคมโดยที่ไม่พินิจเลยว่า เป้าหมายนั้นไม่ได้ตอบสนองต่อการดำรงอยู่ของบุคคลในสังคมเลย ทำไมไม่ลองถามว่าเรา "บ้าคลั่ง" กับการเทิดทูนบูชาไปเพื่ออะไร มันสัมพันธ์กับความสงบสุข ความก้าวหน้าของสังคมอย่างไร ถ้าไม่มีความจงรักภักดีเราจะมีชีวิตอยู่ไม่ได้หรือ อุดมการณ์นี้ก็เช่นเดียวกับชาติ คือเป็นสิ่งที่ว่างเปล่า แต่ถูกทำให้เป็นเป้าหมายอันสูงสุด หากคุณเกิดมาแล้วได้เทิดทูนสถาบันกษัตริย์คุณก็ไม่เสียชาติเกิดและได้ทำ หน้าที่ที่ดีที่สุดแล้ว แต่ไม่มีใครถามว่าเมื่อเราบรรลุเป้าหมายนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร ประเทศเราจะพัฒนาไปอย่างไร พวกเราทุกคนในฐานะของมนุษย์ ของประชาชนจะดำรงชีวิตอย่างไร จะอยู่ในสังคมเช่นไร ไม่มีใครถาม เพราะผลจากการปลูกฝัง-ชวนเชื่อ-ล้างสมองอย่างเข้มข้น จนมองไม่ออกถึงความเปล่ากลวงที่ซ่อนอยู่ภายใน ดังนั้นจงไปตายเพื่อพ่อเถิดแล้วสังคมจะเป็นสุข ประเทศจะเจริญก้าวหน้า

ร้ายยิ่งกว่านั้นอุดมการณ์เรื่องสถาบันกษัตริย์ยังได้สร้างสำนึกทางสังคมที่ สุดแสนจะอุบาทว์ขึ้น คือสำนึกที่ทำให้คนเรายอมลดคุณค่า การนับถือตัวเองลงอย่างน่าประหลาดใจ เรายอมจะเป็นก้อนดิน ถ้าไม่มี "พ่อ" เราไม่มีค่าอะไรเลย เรายอมจะเป็นฝุ่นใต้ฝ่าตีน เรายอมให้คนกลุ่มหนึ่งเอาเท้าเหยียบหัวเรา เอาเปรียบเราได้โดยเห็นเป็นปกติ วาทกรรม "เมืองไทยโชคดีที่มีพ่อ" ถูกผลิตซ้ำแล้วซ้ำเล่า สร้างสำนึกร่วมของพวกขี้แพ้ ทำให้ไม่มีใครกล้าลุกขึ้นบอกว่า "เพราะมีพวกเราทุกคนต่างหากจึงโชคดี" เราเป็นสังคมที่อยากเป็นเด็กทารกให้พ่ออุ้มเสมอ ไม่ยอมเป็นสังคมที่เจริญวุฒิภาวะ และแทนที่การศึกษา-สำนึกสาธารณะจะหล่อหลอมให้คนมีคุณค่า มีความเชื่อมั่น มีเป้าหมาย มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างตัวเองให้ดี จรรโลงสังคมให้เจริญ กลับตอกย้ำว่าทุกคนไร้ค่า เป็นดิน เป็นฝุ่นใต้ตีน เราโชคดีแล้ว พอดีแล้ว ไม่ต้องไขว่คว้าอะไรอีกแล้ว เพราะเรามีพ่อแล้ว นี่เป็นสำนึกที่น่าอดสูใจที่สุด ผมรู้สึกโกรธแค้นทั้งผู้ที่ผลิตวาทกรรมนี้ขึ้นมา และโกรธแค้นสังคม-คนในสังคมบัดซบนี้ที่กล้ายอมรับอย่างหน้าชื่นว่าตัวเอง เป็นขยะ สำนึกนี้หล่อหลอมให้สังคมเราเป็นสังคมที่ล้มเหลว ง่อยเปลี้ย สังคมที่พร่ำสอนปลูกฝังให้คนไม่เห็นค่าของตน ไม่นับถือตัวเองจะมีพลังที่ไหนมาขับเคลื่อนสังคม ถ้าเทียบกับประเทศอื่นที่ไม่พร่ำเพ้อแบบสังคมไทย เน้นศักยภาพและความเท่าเทียม เราจะไปแข่งขันกับเขาได้อย่างไรเล่า

อย่างไรก็ตามหากจะพูดอย่างตีขลุมว่าวาทกรรมสามสิ่งนี้มันทำให้ประเทศไม่ เจริญเลยก็คงไม่ยุติธรรมนัก คนไทยก็ยังอยู่กันได้ เด็กที่ผ่านการหล่อหลอมของการศึกษาในสังคมก็ยังเติบโตเอาตัวรอดได้ เป็นเทคโนแครตได้ เป็นนายทุนได้ แต่ประเด็นอยู่ที่วาทกรรมนี้มันได้สร้าง Mentality (ซึ่งผมขอแปลว่าจิตสำนึกทางสังคม) ที่ไม่ก่อประโยชน์ และอาจจะขัดขวางการพัฒนาด้วยซ้ำ เพราะมันไปเบียดบังจิตสำนึกทางสังคมแบบอื่นที่จำเป็นกว่าในสังคมสมัยใหม่ ไม่ว่าจะเป็นหลักประชาธิปไตยที่จะใช้ในการอยู่ร่วมกัน ความเท่าเทียม การรู้จักสิทธิและหน้าที่ มนุษยธรรม การมุ่งผลเลิศในเป้าหมาย ฯลฯ ทั้งหมดล้วนถูกทำให้อ่อนแอ ไม่มีที่ยืนในจิตใจของคนไทย เนื่องจากการเน้นย้ำพร่ำสอนเพ้อพกอยู่กับเรื่องของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์อย่างล้นเกินได้สถาปนาตนอย่างยิ่งใหญ่จนไม่เหลือที่แก่สำนึก อื่นแล้วนั่นเอง ผลลัพธ์ที่ได้จากสำนึกทางสังคมแบบนี้เห็นตัวอย่างได้ชัดเจน เช่น การไล่ล่า "พวกไม่จงรักภักดี" การจ้องจับผิดหาคน "หมิ่น" ไม่ต่างอะไรจากพวกหมกมุ่น และจะยิ่งตลกร้ายถ้าได้รู้ว่ารัฐบาลไทยจ่ายเงินไปกับเรื่องหมกมุ่นเหล่านี้ มากแค่ไหน

แล้วเราควรจะทำยังไง ผมว่าสังคมไทย ณ ตอนนี้ก้าวมาใกล้ถึงจุดเปลี่ยนแล้ว เป็นการเปลี่ยนด้วยสภาพบังคับซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะทำให้สังคมนี้ซวดเซไปขนาด ไหน และจะใช้เวลาเท่าใดเราจึงจะก้าวข้าม "ความว่างเปล่า" เหล่านี้ไปได้ ในฐานะปัจเจกบุคคล (ที่เชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง) เราต้องผลิต/ผลิตซ้ำวาทกรรม/อุดมการณ์ที่มีแก่นสารอันพึงปรารถนาแก่สังคม ร่วมสมัยให้มากๆ ขึ้นไป สร้างคุณค่าให้กับตนเอง มองสังคมอย่างสัมพันธ์กับความเป็นจริง เน้นความสำคัญของสิทธิ หน้าที่ การเคารพกันอย่างเสมอภาค ประชาธิปไตย การยอมรับความแตกต่าง ความมุ่งมั่นในเป้าหมาย เหล่านี้เป็นสำนึกของสังคมที่สังคมไทยควรจะฟูมฟักและปลูกฝังแก่สมาชิกให้ มากๆ เพื่อรองรับสังคมร่วมสมัย ถึงเวลาแล้วที่จะเอาสังคมมาแทนชาติซึ่งเป็นชุมชนอันไร้ตัวตน ปรับเปลี่ยนบทบาทของศาสนาจากเจว็ดบูชาให้กลายเป็นวิถีชีวิตอันเหมาะสม และสร้างสำนึกความมีคุณค่าเท่าเทียมของคนขึ้นแทนการเทิดทูนบูชาพระมหา กษัตริย์อย่างบ้าคลั่ง

สังคมไทยไม่อาจหยุดอยู่ในโลกยูโทเปียโบราณของพวกศักดินาได้ตลอดไปหรอก

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

แผนนองเลือด

โดย จิตร พลจันทร์
ที่มา : คอลัมน์ คมความคิด จิตร พลจันทร์ นิตยสาร Voice of Taksin ฉบับที่ 15

มันสั่งว่า เมื่อประกาศยึดทรัพย์แล้ว มวลชนเตรียมออกมากันแล้ว ก็ให้ออกมากันให้เต็มที่ก่อน จากนั้นจะ ส่งทีมนรกเข้าไปประชิดตัวผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ทีละคน แล้วยิงทิ้งเลย สร้างภาพเสมือนว่าฝ่ายนายกทักษิณและเสื้อแดงเป็นคนลงมือทำ และแล้ว... มันก็จะลงมือปราบปรามมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงชนิดเลือด ท่วมท้องช้าง

โอ๊ย... เกิดมาเป็นคนไทยอย่างจิตร ใครมันจะนึกว่าวันอย่างนี้จะมาถึง
เกิด มาก็นึกว่าคนบางคนเค้าใจดีมีเมตตา เขารักประชาชนพลเมือง ที่ไหนได้ล่ะ วันนี้เขาเคาะเปรี้ยงลงมาแล้วว่าให้เตรียมเชือดคนเป็นแสนๆ ได้เลย เขาจะหานักฆ่ามืออาชีพจากเมืองนอกเมืองนามาช่วย เขาบอกซะด้วยว่าคนพวกนี้มันรักทักษิณ บางคนไม่ได้รักทักษิณมากมันก็รักประชาธิปไตยมาก เอามันไว้ไม่ได้ จะฆ่ากันเป็นล้านศพก็ไม่ว่า ขอให้ครอบครัว (กู) รอดก่อน
ฝ่ายอำมาตย์ มันก็ไม่ได้เลวไปซะทุกคนหรอกท่าน บางคนรู้ข่าวก็ใจเต้นโครมคราม เผ่นแน่บมาเล่าให้จิตรฟัง เพื่อให้จิตรส่งข่าวต่อไปยังพระเดชพระคุณตัวจริงคือมวลมหาประชาชน
คน หนึ่งเล่าไปน้ำตาไหลไปว่า มันเลวอะไรหยั่งงี้ เมื่อก่อนหลงเชื่อว่ามันรักประชาชน ยุให้พวกโจรห้าร้อยเข้ามาโค่นทำลายประชาธิปไตยก็เพราะทักษิณไม่ดี

แต่ ตอนหลังรู้ว่าทักษิณเขาดีและเขาไม่ผิด แทนที่จะหยุดยั้ง แกกลับสั่งฆ่าหนักกว่าเก่า ก็เลยรู้เช่นเห็นชาติว่า โคตรตระกูลนี้มันก็เหมียนกันทั้งนั้น ต้นตระกูลก็เป็นลูกน้องเขา เขาเอามาชุบเลี้ยงจนเป็นใหญ่เป็นโต (เหมือนทักษิณเลี้ยงเนวิน สุรเกียรติ์ วิษณุ บวรศักดิ์ อนุทิน และนายเหนือหัวของคนพวกนี้) พอได้ทีก็โค่นนายตัวเอง จับนายไปจองจำ ซัดว่าสติไม่ดี ดูแลบ้านเมืองไม่ได้ แล้วก็จับลงถุงแดง ฆ่าทิ้งอย่างทารุณ
โคตรตระกูลไหนที่มือเปื้อนเลือดขนาดนั้นจะให้มัน จบดีกระไรได้ แต่จิตรก็ไม่นึกว่าเรื่องมันตั้งสองร้อยกว่าปีแล้ว กรรมจะมาสนองกรรมเอาในตอนนี้
ความจริงการฆ่าหมู่หรือฆ่าเดี่ยวนั้น คนแก่โรคจิตบางคนมันคิดของมันมานานแล้วล่ะท่าน จิตรเคยรู้มาไม่กี่เรื่อง พอมาได้ยินจาก “คุณข้างใน” ผู้มีใจเป็นธรรมเข้า เลยต่อเรื่องได้ทะลุปรุโปร่งทีเดียว ขนาดลำดับ “แผนฆ่า” ได้เลยล่ะท่าน
- ใช้พวกมาเฟียชั้นต่ำ ระดับสัมภเวสี ฆ่าคุณทักษิณแทนให้ เรื่องก็ออกมาเป็นการระเบิดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ของการบินไทยที่คุณทักษิณฯ จะนั่งไปเชียงใหม่ในปีแรกที่เป็นนายกฯ
- ใช้คนไร้อนาคต หมดความหวังในชีวิตอย่างสนธิ ลิ้มทองกุล มาก่อหวอตทำลายชื่อเสียงคุณทักษิณให้สิ้นก่อนต่อไปก็ลงมือฆ่าง่าย ป้ายสีเขาว่าเป็นคนไม่ดี กะว่าเขาหมดชื่อเสียงแล้วตัวก็สบายตายไปคนก็ไม่สนใจ เหมือนที่ทำกับอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ ดร.ป๋วย อึ๊งภากรณ์ ครูบาศรีวิชัย ดร.บุญสนอง บุญโยทยาน พระพิมลธรรม เป็นต้น นั่นแล
- ใช้ทหาร ตำรวจ มือปืนรับจ้าง (ระดับมืออาชีพ) มาลงมือ ทหารก็ต้องหมวกแดงป่าหวายโน่น อย่างไอ้คนที่เตรียมยิงจากต้นไม้ที่ลพบุรี แต่นายกฯ เปลี่ยนแผนขึ้นเหนือนั่นแหละ
-ตำรวจ ก็ไปขุดเอาจากขุมนรก ก็พวกประวัติเลวๆ ที่วิ่งมากราบตีนขอให้ช่วยชีวิตอย่างสมคิด เป็นต้น
-มือปืนก็เลือกพวกที่ กอ.รม.นวย สั่งได้มาใช้งาน กลายเป็นการเตรียมฆ่าผู้นำของระบอบประชาธิปไตยถึง ๘ ครั้ง ๘ หน
-รวมทั้งแผนระเบิดรถ ยนต์ที่บางพลัดที่ไอ้พวกสื่อมวลสัตว์บางตัวอย่าง “เนชั่ว” มันเอามาโฆษณาชวนเชื่อว่าเป็นเรื่องตลกหรือ “คาร์บ๊อง” เพื่อให้คนทั่วโลกเขาไม่สนใจนั่นแหละ
-พวกนี้เลวถึงขนาดจะให้ยิงจรวดใส่บ้านที่ถนนจรัญสนิทวงศ์ของคุณ ทักษิณฯ และครอบครัว ก็ไม่ใช่ใครหรอก ไอ้ “เขายายเที่ยง” นั่นล่ะท่านที่เป็นตัวการคิดอะไรนรกๆ แบบนี้ เดชะบุญที่นายทหารใหญ่คนที่ต่อมาได้เป็นพลเอกและย้ายมาอยู่ฝั่งประชาธิปไตย เขาเซย์โน บอกว่าจะฆ่าใครก็เอาเฉพาะตัวเขา ฆ่าลูกฆ่าเมียเขาด้วยมันผิดหลักการ

- ใช้ทหาร ตำรวจ และพวกเศษมนุษย์ที่เลียตีนรับใช้กันอยู่เดินทางไปต่างประเทศ เก็บข้อมูลว่าคุณทักษิณอยู่ไหนอย่างไร เตรียมลอบสังหาร ที่อังกฤษก็ทำ ขนาดมาถึงกัมพูชาแล้วก็ยังทำ โชคดีว่าประเทศแถบนี้เขาไม่เล่นเกมโสโครกด้วย เวียดนามก็เป็นเจ้าภาพจับตัวเอาไว้ได้ ๓ คน ไม่นานนี้เอง ตอนนี้ได้ข่าวว่าหัวหายไปแล้ว
นี่ล่ะท่านคือผลงานนองเลือดของไอ้พวก เหี้ยม ม. หาย ความเป็นคนมันไม่มีเหลืออยู่กับตัวแล้ว ไม่ว่าจะไอ้แก่มากหรือไอ้แก่น้อย อยู่บ้านคงลงเดินสี่ตีน เพราะคุณธรรมมันไม่มีเหลือหลอ
แต่แผนการอุบาทว์ชาติชั่วที่เล่ามา ยังไม่เท่าความมืดดำของแผนใหม่ที่เพิ่งเคาะ กันลงมาจากตึกสูงๆ ของโรง...มีชื่อแห่งหนึ่งของเมืองไทย ซึ่งจิตรต้องเล่าให้ท่านฟัง จะได้รู้ว่าเมืองพุทธของเรา เดี๋ยวนี้มันได้กลายเป็น “ระบอบสัตวาธิปไตย” คือได้ฝูงสัตว์มาปกครองแทนคนอย่างไร
ในวันตัดสินคดีทรัพย์สินของนายก ทักษิณและครอบครัว หรือคดี ๗๖,๐๐๐ ล้านนั่นแหละ ฝ่ายชั่วมันเตรียมจะยึดทรัพย์ให้หมดเกลี้ยง เพราะมันกลัวนายกทักษิณจะเหลือทุนมาทำงานการเมือง แล้วคิดโค่นทำลายรังของพวกมัน มันก็เลยโหมโรงโฆษณาว่าเงินนั้นมาจากไหนยังไง หวังให้คนเขาเคลิบเคลิ้มเห็นดีด้วยกับการยึดทรัพย์
แต่มันก็รู้ว่า กระแสเสื้อแดงที่เร่าร้อนรุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์นั้น ดับไม่ไหว มวลมหาประชาชนเหล่านี้เขาไม่ได้ห่วงเงินของคุณทักษิณ แต่เขาไม่ยอมนั่งเฉยให้ไอ้พวกโจรมหาโจรมันเข้าปล้นครั้งแล้วครั้งเล่า เขาก็ต้องออกมาแสดงพลังต่อต้าน
ตรงนี้ล่ะท่านที่รักทั้งหลาย ปิศาจตัวใหญ่ที่ใครก็มองไม่ออก เพราะเป็นประเภท “ตีนที่มองไม่เห็น” ก็ออกโรงมาอีกคราหนึ่ง เหมือนเมื่อคราวเหตุการณ์ฆ่านักศึกษาและประชาชนในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ ไม่มีผิดเพี้ยนแม้แต่องคุลีเดียว

ปิศาจตนนี้มันสั่งว่า เมื่อประกาศยึดทรัพย์แล้ว มวลชนเตรียมออกมากันแล้ว ก็ให้ออกมากันให้เต็มที่ก่อน จากนั้นจะ ส่งทีมนรกเข้าไปประชิดตัวผู้พิพากษาคดียึดทรัพย์ทีละคน แล้วยิงทิ้งเลย สร้างภาพเสมือนว่าฝ่ายนายกทักษิณและเสื้อแดงเป็นคนลงมือทำ โดยเฉพาะคำพูดของ “เสธ.แดง” ที่เตือนให้ระวังการสังหารผู้พิพากษามาก่อนนี้ มันก็จะเอามาอ้าง จากนั้นมันก็จะโหมข่าวไปทั่วประเทศและทั่วโลกว่าฝ่ายทักษิณเป็นคนสั่งฆ่าผู้ พิพากษา

และแล้ว... มันก็จะลงมือปราบปรามมวลชนฝ่ายประชาธิปไตยอย่างโหดเหี้ยมรุนแรงชนิดเลือด ท่วมท้องช้าง

ฝ่ายอำมาตย์บางคนมันไปติดต่อกับประเทศมหาอำนาจ ลูกพี่มันไว้แล้วด้วย ขอความช่วยเหลือในการปราบปรามประชาชน ไอ้ฝ่ายโน้นก็พูดไม่ออก ดันทำตัวเป็นลูกพี่เขามาตั้งแต่สงครามเย็นโน่น จะทำดัดจริตย้ายมาข้างประชาธิปไตยก็ไม่ทัน ก็เลยเตรียมช่วยเหลือเชิงกำลังพล (บางส่วน) อุปกรณ์เครื่องมือบางอย่าง และข่าวกรอง ละเอียดลงไปถึงขั้นว่าทหารที่มาฝึกซ้อมรบอยู่ในเมืองไทยช่วงนี้ถึงเวลาก็ยัง ไม่ให้กลับ ให้ซุ่มรอเวลาอยู่อีกอย่างน้อยสามเดือนเผื่อจะต้องรบจริง

เห็น ไหมล่ะท่าน... พวกมันเตรียมการกันถึงขนาดนี้ จิตรเป็นคนชอบพูดทีเล่นทีจริง งานนี้ยังต้องพูดด้วยเสียงดังฟังชัดว่าเมื่อพวกมันมองเห็นประชาชนเป็นผัก เป็นปลา คิดจะฆ่าจะแกงกันขนาดนี้แล้ว ประชาชนเราจะนั่งรอให้มันฆ่าก็กระไรอยู่
ก็ต้องพิจารณาว่าจะเอาไงกะมันนะพระคุณท่าน!

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

เปิดโปงขบวนการล้มเจ้า

ไม่เคยทีครั้งใด้ในโลกที่ประชาชน นักวิชาการทั่วไป จะทำการล้มเจ้าได้
ต่อให้คิดจะล้มจริง

ประวัติศาสตร์โลก ที่เกิดการล้มล้างราชวง ทุกครั้งตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้น
เกิดจากบุคคล ใกล้ชิด ขุนศึกขุนนาง ญาติ เท่านั้นที่ทำได้

ส่วนที่ยกตัวอย่างมาไม่ ว่า ใจ จักรภพ อีกเยอะ จุดประสงค์ต่างกัน
1.วิจารแรง
2.ปากดี
3.พูด จริง แต่ไม่ควร
สรุป ยังไงก็ล้มไม่ได้ กลับอ่านอีกรอบ ให้พวกมันตีทำ ตะโกน ในทางไม่ดีจนคอแตก พวกมันก็ล้มไม่ได้

"ประวัติศาสตร์โลก ที่เกิดการล้มล้างราชวง ทุกครั้งตั้งแต่มีมนุษย์เกิดขึ้น
เกิดจากบุคคล ใกล้ชิด ขุนศึกขุนนาง ญาติ เท่านั้นที่ทำได้"

ถ้าการวิจาร =หมิ่น = ล้มเจ้า
ในโลกคนEng us japan คงมีคนโดนจับไปแล้ว 50 ล้านคนมั้ง

ดัง นั้นเป็นประชาชนคนไทยที่เคารพ ราชวง ต้อง ต้องจับตาดูคนที่มีโอกาสกระทำมากกว่า
อย่าลืมการ ปฎิวัติ รศ 120 2475 2325 ก็เกิดเพราะ ขุนนางทั้งนั้น
หรือเรากำลังโดนหลอกโดยกลุ่มที่ต้อง การกระทำจริง
มีผลได้เสียกัน ราชสมบัติ อำนาจ (ในการทำลายล้างบุคคลอื่น )

มองกลับ กันถ้าตัวใหญ่เสื้อแดงทำจริง ใครเขาก็ไม่เอาด้วยทำไปตายหมด อยู่ดี
มอง ให้ออกอะไรคือการกล่าวหา ความเป็นไปได้ มูลเหตุไปตามคนกลุ่มนี้กว่าจะรู้ตัว ก็กลาย
เป็นกลุ่มคนที่ก่อการซะเอง

อีกกลุ่มโดนต่อว่า กลับเป็น ผู้ปกป้องที่แท้จริง

เสื้อแดงบางกลุ่มตามที่เขากล่าวหา ความต้องการคือ มีการแอบอ้างราชอำนาจมาใช้เขาก็โฏรธ ด่าไปเรื่อย
ความ ต้องการที่ผมคิดคือ เขาต้องการเชิดชู โดยไม่ใครแอบอ้างมากกว่า

กระทู้ แนวนี้เป็น หมื่นตามที่ รบ ปิดมีจริงแต่ผมบอกได้เลย ทั้งหมด เป็นกระทู้gossip
แบบ gossip ดาราทั้งหมด ไม่มี เวปกระทู้ไหนที่มีการเตรียมอาวุธ หรือแผนการล้มเจ้า บ้าบออะไร
การgossip เอาเรื่องลับมาพูด = ล้มเจ้า ความคิดแบบนี้มันบ้าสุดโด่ง

ถ้าผม นินทาเจ้านาย ว่าเจ้านายไปทำไรมาบ้าง = จะยึดบริษัทเจ้านายเป็นอะไรที่บ้ามาก กับคนที่คิดว่านี่คือการ>>>>>>ล้มเจ้า

วันเสาร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553



วันเสาร์, กุมภาพันธ์ 06, 2010

องคมนตรี กับสตรีชั่ว

โดย จิตร พลจันทร์

ที่มา คอลัมน์ คมความคิด จิตร พลจันทร์ นิตยสาร Voice of Taksin ฉบับที่ 14

ปักษ์แรก กุมภาพันธ์ 2553

โอ๊ย สะใจๆๆๆๆ สู้มาสามปีฝ่า จิตรเพิ่งจะสะใจเต็มที่อีคราวนี้เอง

เริ่ม จากคนชื่อนายทองเปรมที่เมื่อก่อนศักดิ์สิทธิ์นักหนา หมาไม่ให้ไต่ไพร่ไม่ให้ตอม เดี๋ยวนี้เหมือนกองปฏิมูลส่งกลิ่นเหม็นโฉ่แถวสี่เสาเทเวศร์ เพราะหน้าด้านไม่ยอมออกจากบ้านหลวง เรื่องบัดสีบัดเถลิงทางการเมืองถูกถลกออกมาอย่างจะๆ

ธุรกิจท่อน้ำ เลี้ยงนายทองเปรม ไม่ว่าไอ้บริษัทใจดำที่หากินด้วยการเลี้ยงไก่ เลี้ยงหมูจ้องเอารัดเอาเปรียบเกษตรกรทั่วประเทศอยู่ทุกลมหายใจ ชั่วๆ ไอ้เสี่ยน้ำเมากับอีเมียที่เกิดมาทำเป็นอย่างเดียว คือเอาลิ้นเลียพื้นแถวๆ วังซะจนสะอาดหมดจดไม่เหลือหลอ หรือไอ้ ธนาคารอัปรีย์ที่โกงทุกสิ่งทุกอย่างแล้ววิ่งเอาค่าต๋งไปยื่นสองแขน ส่งให้มหาอำมาตย์และโคตรตระกูล ถูกเปิดโปงจนแทบไม่เหลือกางเกงในสีชมพูเอาไว้แลบเล่นกับหนุ่มๆ แถวโรง แรมอิมๆ ปาร์คๆ อะไรนี่แหละ

ตอนนี้มาถึงนายสุ รยุทธ์กับเขายายเที่ยง ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่เที่ยง (ธรรม) กันทั้งยายทั้งตา เมื่อก่อนภาพลักษณ์เหลืองอร่ามประหนึ่งทองคำก็ไม่ปาน พอคนเสื้อแดงยกขบวนไปส่องกล้องดูใกล้ๆ ถึงกับผงะ เพราะมันคือเหลืองอุจจาระก้อนเบ้อเริ่มเทิ่ม

แถมไอ้ขบวนการอำมาตย์ ชั่ว ยังด้านหน้ากันออกมาปกป้องราวกับว่าขี้ก้อนนั้นมันจะเสริมสถาบันได้หยั่ง งั้นแหละ จากนั้นจนบัดนี้ คำว่าองคมนตรีก็สิ้นสุดความศักดิ์สิทธิ์ ใครดีก็ดีไป ใครชั่วก็ชั่วหักคาอยู่ในนั้น ผ้าเหลืองจีวรพระยังดีกว่าเพราะเอามาหุ้มต้นไม้ต้นไร่แล้วคนไม่กล้าตัด มีแต่จะยกมือไหว้นอบน้อม

แต่เหลืองในตำแหน่งองคมนตรีนั้นบ่ใช่แล้ว เด้อ!

จิตรสุขใจหาอะไรเปรียบปานมิได้ เพราะเมื่อองคมนตรีถูกกระชากกางเกงในจนเห็นเป็นดุ้นเป็นด้าม (หรือบางรายก็ไม่เห็น เพราะม้าเตะขาดไปตั้งแต่ละอ่อน) ก็แปลว่าความลับดำชั่วหลายสิบปีของบ้านนี้เมืองนี้มันคงจะได้ฤกษ์ได้ชัยเปิด โปงกันเสียทีหนึ่ง ขอเชียร์ๆๆๆๆ ให้คนเสื้อแดงมุ่งมั่นต่อไปเถิดจะเกิดผล จิตรคนนอกขอเติมข้อมูลตรงนี้จั๊กน่อย เผื่อจะเป็นเชื้อพลงเชื้อเพลิงให้เขาเดินต่อไปได้มั่ง

แหม.... ทั่วโลกเขาออกจะฮือฮาเรื่องสิทธิสตรี ทำไมคนเสื้อแดงเข้าข้างแต่ฝ่ายชาย เอาแต่ฝ่ายชายมาเปิดโปงเท่านั้นล่ะจ๊ะ ไอ้เรื่องถ่างขาหาอำมาตย์ หญิง บางคนเขาก็ชำนิชำนาญอยู่มิใจ้น้อย ขออนุญาตท่านผู้อ่านที่รักเล่าสักสองสามคน แต่คนเสื้อแดงว่าไปตามสะดวกเถิด ไม่ต้องเล่นตามลำดับของจิตรที่จะจาระไนต่อไปนี้ก็ได้

หญิงคน แรกเป็นสาวใหญ่ใจถึง สวยสมแต่นมยาน (อ้าวขอโทษ กลอนมันพาไป) เธอผู้นี้สูงศักดิ์ขนาดยอดตาลเห็นจะได้ แถมมีศักดิ์เป็นพี่สาวร่วม สายโลหิตสีแดงเลือดอำมาตย์กับองคมนตรีอีกคนหนึ่งที่ว่ากันว่า เต้นรำเก่งนักหนา เธอผู้นี้มีชื่อเฉพาะตัวเหมือนสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่าคนทั้งหลายแหล่ แต่จิตรเป็นคนขี้เกรงใจ ขอเรียกว่า ท่านผู้ใหญ่พันธุ์ไม่ดีก็ แล้วกัน ค่อยเฉียดๆ ชื่อจริงแกหน่อย ไม่เอ่ยเลยเดี๋ยวจะหาว่าจิตรเขียนเชียร์ทั้งทีก็ไม่จั๋งหนับ

ท่าน ผู้ใหญ่คนนี้เป็นโฆษกชั้นเอกของขบวนการล้างบางนายกทักษิณและ ขบวนการประชาธิปไตยของพวกเราทั้งหลาย เพราะเธอผู้นี้เป็นตัวการใหญ่ที่คอยเชียร์พันธมิตรพันธมารให้เข้าสองรูหูของสตรี สูงเยี่ยมเทียมเมฆอีกคนหนึ่งแห่งสยามประเทศ ทั้งกีดทั้งกันไม่ให้นายกทักษิณและครอบครัวทำอะไรที่เป็นความดีได้เลย ขนาดเอาขนมนมเนยฝากเข้าไปมอบให้นายของเธอ ยังใจร้ายสั่งบริวารทั้งหลายให้ทิ้งไว้ตรงนั้นจนเน่าเหม็น ไม่ยอมบอกให้นายตัวเองรู้ด้วยซ้ำไป คงกลัวว่ารู้แล้วจะเกิดใจอ่อนเห็นความดีขึ้นมา ขบวนการทำลายนายกทักษิณก็จะเน่าแทนขนม เพราะบางคนตอนนี้ก็แก่จนลมใส่ ไม่ทำอะไรก็จะเน่าเองอยู่แล้ว

ท่านผู้ใหญ่พันธุ์ไม่ดีจงเกลียดจงชังนายกทักษิณเพราะนายกทักษิณไปสั่งย้ายน้องชายสุดเลิฟ ของเธอออกจากตำแหน่งสมัยนั้น โกรธหยั่งกะใครเขาเอาไม้มาแยงรู (หู) ไม่ได้ดูเล้ยว่าน้องชายของตัวมันนั่งในตำแหน่งหยั่งกับไอ้ว่อกปัญญาอ่อน แก้ปัญหาอะไรไม่สำเร็จ แถมเอาหน่วยงานประสานในการแก้ไขปัญหาก่อความ ไม่สงบไปเป็นศูนย์ประสานงานให้กับคนขายอาวุธเถื่อน น้ำมันเถื่อน และอีกหลายอย่างที่เถื่อนๆ ซะอีก

นายกทักษิณท่านเป็นนัก แก้ปัญหา เห็นนั่งรับตำแหน่งในมหาดไทยหยั่งกะสืบตระกูล (เพราะโคตร พ่อเขาเป็นปลัดกระทรวงที่นั่นมาก่อน) ก็ต้องขจัดกวาดล้าง ท่านก็ยุบ หน่วยซะ เอาตัวกลับมาทำงานในส่วนกลาง เท่านั้นแหละ ทั้ง พี่สาว น้องชาย และน้องชายอีกคนที่เขาส่งไปใหญ่โตแทนตัวเขาในตอนนี้ โกรธจนบั้นท้ายสั่นไหว ขนาดนั่งไม่ติดที่ คงเผลอนึกว่านามสกุลของตัวแปลว่า แผ่นดินทองมันจะเหลืองอร่ามห้ามแตะต้อง ความจริงมันก็เหลืองอุจจาระเดียวกับสุรยุทธ์นั่นล่ะ (วะ)

เธอ รายที่สอง แหม.... คนนี้ก็ใย๊ใหญ่ทั้ง ขนาดและ บทบาทแต่เรื่อง ขนาดใหญ่ขนาดไหนให้ไปถาม บัญญัติ บรรทัดฐาน อดีต หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์เอาเอง จิตรบ่ฮู้บ่หัน ไม่ชำนาญเล่นจ้ำจี้เหมือนเขา

แต่ บทบาทนั้น โอ้โฮ.... กำแพงเมืองจีนยังเล็กไปถนัดตาถนัดใจ คนๆ นี้เป็นนักระดมเงินชั้นหนึ่ง เจ้านายคนไหนได้ไปก็ต้องยอมเธอ เธอเข้าไปเกี่ยวข้องในหลายธุรกิจ จิตรได้เอกสารมาปึกหนึ่ง อ่านมันส์ไปเลย แต่ขออนุญาตอุบไว้ก่อนที่ไก่จะตื่นนะพระคุณท่าน ในนั้นบอกหมดว่าเอา เงินไปฝากไว้นอกประเทศยังไงๆ บางรายเขาก็เป็นเพื่อนกับเพื่อนของจิตร จิตรก็พอจะรู้กะเขามั่ง เจ้าตัวคงนึกว่าลับเสียเต็มประดา ตอนนี้ลับซะจนแลบแล้วล่ะเธอจ๋า

ยาย คนนี้เรียกเขาว่า ท่านผู้ใหญ่ จ.ก็แล้วกันเต๊อะ ยิ่งตอนหลังยิ่งวิ่งควั่กหาเงิน ไม่ใช่หาส่งให้นายทั้งหมดนะ เอาเข้าพกเข้าห่อก็เยอะ บางทีหนักกว่านั้น ไปซื้อเพชรถูกๆ แล้วเอามาขายต่อเจ้านายในราคาแพง เจ้านายก็งมโข่งนึกว่าเขาซื่อ สัตย์จริงใจอะไรด้วย ความจริงเขารักเงินรักผลประโยชน์ ไม่นานก็จะเห็นเขาถีบตัวทิ้ง ถ้าเจ้านายเกิดเพลี่ยงพล้ำเสียทีขึ้นมา เจ้า นายเธอผู้นี้ว่าไปก็น่าสงสาร มีคนรุมเกลียดรุมชังอยู่เยอะ ไอ้ความ ไม่ดีของตัวก็มากเอาการอยู่ แต่บอบช้ำหนักๆ ตอนหลังน่ะไม่ใช่ของตัวเอง ทำ ตามคำสั่งของผัวเขา อีตาผัวก็เป็นคนมีนิสัยเห็นแก่ตัว อะไรดีเอาเข้าตัว อะไรชั่วมอบให้เมีย หมด ตามแบบฉบับคนปฏิบัติ ทำที่ไม่ใช่ ธรรม

ความสนุกของ ท่านผู้ใหญ่ จ.คือการระดม เงินมาต่อต้านนายกทักษิณที่ตัวเองอุตส่าห์ชวนเชื่อซะหรูว่าเป็นถึง ระบอบทักษิณเพราะอุปนิสัยรักเงิน เลยรับอาสาหาเงินมาช่วยตรงนั้นตรงนี้ที่เขาอยู่ในสนามรบแทนตัว ช่วยขบวนการของไอ้หัวหมูแก้บนถนนพระอาทิตย์ หรือช่วยเครือหนังสือ พิมพ์ เนชั่วให้ได้เวลาทีวี วิทยุอะไรต่างๆ มากมายก่ายกอง เรียกว่าเป็น นางฟ้ามหาโจรตัวจริง

เนื้อที่ใกล้จะหมดแล้ว..... จิตรขอทิ้งไว้เป็นคนสุดท้าย เธอที่สามนี้เป็น คุณใหญ่คงจะยังไม่ได้เป็น ท่านผู้ใหญ่กับเขาเพราะอาวุโสยังค่อนข้างน่อย คนนี้อยู่ ใกล้ตัวใกล้อวัยวะทั้ง ๓๒ ส่วนของสตรีคนสำมะคัญขนาดอาบน้ำอาบท่าให้ ความจริงเธอผู้นี้นิสัยดีนิ่งๆ เฉยๆ ไม่คอยขบกัดอะไรตลอดเวลาเหมือนคุณเธอสองคนแรก แต่พอดีเธอเกิดเคราะห์ร้าย ไปกระทำการ แลกน้ำกับนักการเมืองผิวดำคล้ำคมขึ้นมา และเป็นน้ำชนิดที่ไม่เอามาสาบานว่าจะจงรักภักดีอะไรนั่นด้วย

สามี เก่าเธอเป็นนายทหาร แต่จากกันไปนานแล้ว เธอซึ่งไม่แก่เฒ่านักก็คงจะ เหงามั่ง วันหนึ่งเกิดปะหน้ากับ กำนันสุราษฎร์ขึ้นมา กำนันท่านก็ไม่มีเหนียมอายอยู่แล้ว ยิ่งลูกเขาเมียใครแกถนัดนัก ไม่มีต้นงิ้วให้ปีนแกยังแอบปีนต้นมะพร้าวแทน กำนันแกก็เลย ทำไร้กับคุณเธอผู้นี้จนเกิดติดอกติดใจกันขึ้นมา พอ ติดกำนันแกก็ใช้ ช่องทางนี้ประสานงานให้ตัวแกมั่งหรือให้กะพรรคการเมืองเก่าแก่เห มือนจั๊กกะแร้นายชวนมาตลอด จนกลายเป็น ทาสน้ำของเขาไปโดยไม่รู้ตัวและหัว....ใจ

ก็มาเล่ากันไว้หนุกๆ ตรงนี้ล่ะครับ จิตรไม่มีอะไรจะให้ยกเว้นหัวจอยดวงน้อยๆ เพื่อประชาธิปไตยทั้งดวง ก็ย่อมจะไม่อยากเห็นเหลือบที่คอยกลุ้มรุมทำลายสิทธิเสรีภาพของประชาชนคนราก หญ้า ไม่ว่าจะตัวผู้หรือตัวเมีย

เล่นรังแกประชาชนก็ต้อง โดนทั้งฝูงล่ะเจ๊า!

Posted by นักข่าวชาวรากหญ้า at 2/06/2010 09:05:00 ก่อนเที่ยง

วันอาทิตย์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

กองทัพประชาชน

คือประเทศต่างๆ เขามีหมดครับแต่เขาไม่เรียกชื่อเต็มเพราะภารกิจมันลุล่วงไปแล้วเลย เรียก กองทัพเฉย ในประเทศตะวันตกเกือบทุกประเทศเคยมีกองทัพประชาชนกันมาแล้วทุกประเทศ เมื่อทหารกล้าของเขาไม่ได้เป็นทหารของประชาชน ดันเป็นทหารของกลุ่มคนคนเดียวพร้อมที่จะกดขี่กลุ่มคนอิ่นโดยเฉพาะที่ด้วย กว่า(เท่ซะไม่มี) บางคนเข้ากับกลุ่มที่ด้วยกว่าเพื่อช่วยเหลือด้านกำลังการต่อรอง เพื่อเป็นการคานอำนาจกำลังกัน ซึ่งมันไม่ต่างกับ 3อำนาจสูงสุดในไทยที่ตั้งมาเพื่อคานอำนาจกัน แต่เมื่ออำนาจใดอำนาจหนึ่งเอาหลังพิง อำนาจอื่นที่ไม่ได้อยู่ในระบบก็เกิดการเอาเปรียบกันเช่น พิงกองทัพ พิงวัง ทำให้อำนาจที่เหลืออยู่ไม่สามารถอยู่และใช้กฎหมายร่วมกันอย่างเป็นธรรมได้ ซึ่งแน่นอนผิดกฎหมาย ที่เหลืออยู่ต้องหาอำนาจที่เท่าเทียมมาช่วยในการคานอำนาจ(เขามีดีอะไรกันถึง หลอมประชาชนได้) ก็ดูชอบธรรมดี ในตอนนี้คือประชาชน ไม่ต้องกลัว เรื่องการเมืองล้วนสุดท้ายมันแค่ coldwar ภาคการเมือง
ถ้าไม่มีผมมองวาแย่เมื่ออีกฝั่ง ยึดกฎหมายใช้เองไม่มีใครช่วยคานเป็นเรื่องที่แย่มาก การมีแสดงถึงความเป็นเสรีภาพในการเมืองชนิดหนึ่งในการปกครองรูปแบบใหม่ที่ ปกครองลักษณะเสรีประชาธิปไตย แต่มีอะไรที่แปลก การมีกองทัพในมือก็แค่เป็นการเจรจาต่อรอง

ผู้คุมกองทัพเข้าร่วมกับกลุ่มคนที่มีอำนาจ เพื่อแลกผลประโยชน์การเข้าร่วม ในลักษณะรากลึกจนเป็นธรรมเนียมทั้งที่ผิดกฎหมายเช่น การได้รับผลในการจัดซื้ออาวุธ ปีหนึ่งนับแสนล้านทั้งที่ผิดกฎหมายแต่นายทหารกลับทำกันมาเป็นธรรมเนียมมานาน การนำรุ่นต่างๆขึ้นมานั่งตำแหน่ง ผบ. ซึ่งในความเป็นจริงต้องอาศัย ความสามารถในการออกศึกรบ แต่ที่ไทยกลับเป็นระบบ sotus (ทำให้เกิดการขึ้นมานั่งตำแหน่งแบบผิด)


การไม่ทำให้เกิดยิ่ง ง่ายกว่ามาก
1.ให้ผู้มีอำนาจไม่ว่าใครห้ามยุ่งการเมือง ถ้ายุ่งต้องมีอำนาจที่เท่ากันคานอำนาจได้ สภาlordVS สภาที่มาจากการเลือกตั้ง
2.อย่าเอากองทัพ มาเป็นของตัวให้คนเห็น ต้องยืนด้วยตัวเองในรูปแบบความถูกต้อง (หรือไม่มีอะไรดีจึงต้องพึ่งกองทัพ)
ผมมองคนมีอำนาจตอนนี้ เป็นพวกไม่มีเพื่อนไม่มีความถูกต้อง พวกตัวเองทำผิดแทนที่จะออกมาให้เกิดการเป็นธรรม แต่ดันไปหาซื้อปืนมาข่ม ขู่อีกฝั่ง ห้ามคนอื่นพกพาอาวุธ ไม่ใช่เพราะกลัวการต่อสู้ แต่กลัวเมื่อเขามีปืน ตัวเองเลยไม่รู้จะขู่เขายังไง ถ้าคุณมีก็ต้องเปิดโอกาสให้คนอื่นเขามี เขาจะได้เดินมาคุยกับคุณได้อย่าง เป็นธรรม ไม่ใช่เขาต้องมาคุยกันคุณเพราะเอาปืนไปขู่เขามา แล้วมันจะเป็นธรรมหรือ ถ้าเขาไม่มีคุณก็ต้องวางปืนโดยการปลดอาวุธออก หรือทำลายทิ้งมันไป หรือคนกลางเป็นคนถืออาวุธ(กรรมการ: ซึ่งการออกแบบการปกครองให้กองทัพทำเช่นนั้นอยู่แล้ว)


ซึ่งทั้งหมดมันมีอยู่ใน รธน ทุกฉบับ แต่ไม่ปฎิบัติตามความวุ่นวายมันจึงเกิด ผู้ที่ออกแบบระบบเขามองออก เป็นตราขึ้นมา แต่ที่ไทยไม่เคยและทูล รธน ใหญ่ยิ่งใหญ่เอง จึงเกิดความวุ่นวาย
ไทยเราเองไม่เคยให้ความรู้คนไทยเรื่องการเมืองการปกครอง ให้เข้าใจอย่างท่องแท้
แต่พยายามยัดเยียดคนไทยให้เบื่อการเมือง ทั้งที่
"การ เมืองเป็นเรื่องของประชาชน"
"การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน"
"การ เมืองเป็นเรื่องของประชาชน"
"การเมืองเป็นเรื่องของประชาชน"

คนมี อำนาจเคยอ่านข้อความนี้ใหม
เมื่อคนเราแตกฉานเรื่องการเมือง เรื่องการทำมาหากิน ขี้ๆไปเลย การสนใจเรื่องการเมืองมันช่วยพัฒนา EQ ของคนในประเทศมากๆ แต่พยายามสร้างการเมืองให้เป็นสิ่งที่คนไทยเบื่อ แต่นั้นมันคือเงินของประชาชนและการดำรงค์ชีวิตทั้งนั้น

หรือเขาต้อง การให้คนไทยเบื่อจริงๆ แล้วเอาตัวเองเขาไปนั่งเอง

ดังนั้นขอให้คนที่ สนใจการเมืองมองคนเบื่อการเมืองคือคนไม่สนใจความเป็นอยู่ของตัวเอง มองด้วยสายตา น่ารังเกียจ เมื่อคนไทยไม่สนใจว่าตัวเองจะอยู่อย่างไรมันแค่คนป่าดี ๆนี่เอง ขนาดชาวนาวี ยังเล่นการเมืองเป็นเลย

วันพฤหัสบดีที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2553

ใครจะล้มเจ้า?

โดย จักรภพ เพ็ญแข
ที่มา คอลัมน์ “ผมเป็นข้าราษฎร” หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์วิวาทะ Thai Red News ปีที่ 1 ฉบับที่ 30
27 ธันวาคม 2552

สมัย ก่อนเขาใช้ข้อกล่าวหาคอมมิวนิสต์มาใส่ร้ายป้ายสีทางการเมือง เพื่อทำลายศัตรูคู่แข่งหรือคนที่ตัวคิดว่าเป็นภัยคุกคาม เดี๋ยวนี้เขาเปลี่ยนไปใช้ข้อกล่าวหาว่าจะ “ล้มเจ้า” มาทำลายแทน


เพื่อสื่อสารว่ามีคนคิดเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบที่ไม่มีสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นในเมืองไทย

แล้ว ก็แจ้งความ กล่าวหา ส่งสำนวน และสั่งฟ้องกันให้ชุลมุนไป ท่ามกลางความวุ่นวายทางการเมืองตั้งแต่ก่อนการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เมื่อมวลชนใส่เสื้อเหลืองปรากฏตัวขึ้นอย่างดุดันก้าวร้าว มุ่งโค่นล้มรัฐบาลของฝ่ายประชาชนอย่างเป็นระบบและมีแรงสนับสนุนที่ดียิ่ง

จนต่อมามีการจับกุมคุมขังเกิดขึ้นหลายสิบรายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศตามการจุดชนวนนั้น

โชค ดีที่การรณรงค์ของระบอบคอมมิวนิสต์ในระดับโลกสิ้นสุดลงไปพร้อมกับสงครามเย็น แต่น่าสนใจว่าข้อหาคอมมิวนิสต์ใหม่คือ “ล้มเจ้า” จะไปจบลงตรงไหน เนื่องจากเงื่อนไขที่ไม่เหมือนกัน กรณีคอมมิวนิสต์มีที่มาของเรื่องที่ชัดเจนและเป็นปรากฏการณ์ในหลายประเทศ ทั่วโลก แต่กรณีหลังขาดทั้งความชัดเจนทางกฎหมายและมีลักษณะครอบงำทางสังคมจนไม่ต้อง ถามเหตุผล

ที่สำคัญคือเป็นปรากฏการณ์เฉพาะตัวของเมืองไทยที่สังคมโลกกำลังจับตามองอย่างสงสัย

สถาบันพระมหากษัตริย์มีอยู่ในหลายประเทศ แต่ไม่ปรากฏว่าประเทศใดยกเรื่องนี้ขึ้นมาไล่ล่าขับเคี่ยวกันอย่างนี้

หลาย ประเทศไม่รู้เสียด้วยซ้ำว่ากฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแปลว่ากระไร ยกเว้นฝรั่งเศส ซึ่งก่อการปฏิวัติประชาชนโค่นล้มกฎหมายประเภทนี้โดยตรง เราจึงรับมรดกเก่าๆ ของเขามาเรียกกันว่า les majesty

แต่เอาเถิด เมื่ออุตส่าห์ขุดค้นมาใช้งานกันถึงขนาดนี้แล้ว ตั้งวงคุยกันสักหน่อยไม่เสียหายอะไรไปมากกว่านี้หรอกครับ

สิ่งสำคัญอย่างยิ่งในสถาบันพระมหากษัตริย์ของทุกประเทศทั่วโลกคือ พระราชอำนาจ

พระ ราชอำนาจนั้นมีหลายทาง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นอำนาจทางการเมือง ซึ่งรวมทั้งพิธีการและงานเฉพาะกิจอย่างสงคราม อำนาจทางสังคม และอำนาจทางวัฒนธรรม ส่วนอำนาจทางเศรษฐกิจนั้นไม่มีมากนักในสถาบันกษัตริย์ของโลก

ข้อกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจึงแปลว่า ผู้ถูกกล่าวหากระทำการที่ถือว่าหมิ่นอานุภาพอันล้นพ้นและยิ่งใหญ่ของพระองค์ท่าน
การหมิ่นพระราชอำนาจจึงเป็นหัวใจของเรื่อง
แต่ คนที่มุ่งทำลายศัตรูเพื่อหวังผลทางการเมือง เขานำข้อกล่าวหาเรื่องการหมิ่นพระราชอำนาจมาขยายจนเป็นการล้มเจ้าหรือทำให้ คนทั่วไปคิดไปถึงขนาดนั้น

คนละเรื่องกันแท้ๆ ก็เอามาคลุกเคล้ากันจนเกิดความเสี่ยงต่อสถาบันเอง ตามคำโบราณว่าเสี่ยงพระมหากษัตริย์

ข้อ กล่าวหาว่า “ล้มเจ้า” หมายความว่ามีขบวนการอย่างเป็นรูปธรรมที่ทำงานยึดโยงกันเป็นหมู่คณะ มีแผน มีหน่วยปฏิบัติการอะไรต่างๆ มากมาย แม้กระทั่งอาวุธยุทโธปกรณ์ ฟังดูน่ากลัวยิ่งนัก

แต่ผู้ที่ถูกกล่าวหา ถูกไล่ล่า และถูกจับกุมแต่ละราย กลับเป็นบุคคลเดี่ยวๆ ที่กระทำการต่างกรรมต่างวาระกันอย่างชัดเจนไม่มีความเชื่อมโยงกัน

หาก ขบวนการอย่างนี้มีจริง และผู้ที่มีหน้าที่ที่อ้างความจงรักภักดีทั้งหลายไม่นำออกมาให้สังคมได้เห็น เป็นประจักษ์ ก็เท่ากับว่าผู้ที่ขยันกล่าวหาคนอื่นนั่นเองที่เป็นตัวการสำคัญในเรื่องนี้ เพราะละเว้นไม่ยอมปฏิบัติหน้าที่อันสำคัญ

ส่วนข้อเสวนาเรื่องพระ ราชอำนาจนั้น มีความสำคัญต่ออนาคตของบ้านเมืองอย่างที่สุด เพราะจะนำไปสู่ทางออกทางการเมืองหรือจะสร้างปัญหายิ่งไปกว่านี้ก็ได้

พระ ราชอำนาจมิใช่สิ่งที่ทรงใช้โดยพระมหากษัตริย์เท่านั้น ยังมีผู้ที่ใช้พระราชอำนาจอย่างที่เรียกว่าทำหน้าที่ในพระปรมาภิไธยอีกเป็น จำนวนมากในเมืองไทย เช่น ตุลาการผู้ขึ้นบัลลังก์ทำหน้าที่ “ศาล” ผู้มีอำนาจโยกย้ายข้าราชการระดับสูง องคมนตรี เป็นต้น

แม้กระทั่งพระ บรมวงศานุวงศ์และคนทั่วไปที่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ให้เป็นผู้แทนพระองค์ในบางกรณี ก็ใช้พระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์อยู่ในห้วงเวลานั้นๆ

รวมความแล้วพระราชอำนาจของกษัตริย์ถือเป็นส่วนหนึ่งของอำนาจรัฐ

อำนาจ รัฐคือเงื่อนไขสำคัญที่บอกเราว่า จะเขียนรัฐธรรมนูญและบังคับใช้รัฐธรรมนูญอย่างไรให้เกิดความเป็นระเบียบ เรียบร้อยและป้องกันไม่ให้เกิดความขัดแย้งขึ้นในรัฐ

รัฐธรรมนูญคือ สิ่งที่ระบุว่าคนทุกๆ คนในรัฐนั้นมีความสัมพันธ์กันอย่างไร เช่น กษัตริย์กับราษฎร เจ้าหน้าที่ของรัฐกับประชาชน ข้าราชการทหารกับข้าราชการพลเรือน สิทธิและหน้าที่ของปัจเจกบุคคล เป็นต้น

ข้อ เสวนาในเวลาอันควรเพื่อให้ประเทศชาติอยู่รอดได้ จึงต้องเกี่ยวข้องกับพระราชอำนาจโดยมิอาจหลีกเลี่ยงได้ โดยเฉพาะสามปีที่ผ่านมา ซึ่งเกิดการกล่าวอ้างพระราชอำนาจหรือแม้แต่สงสัยกันว่าแอบอ้างพระราชอำนาจ บ่อยครั้งอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน

จริงหรือปลอมก็ถือว่ามีผลกระทบใน ทางลบทั้งนั้น เพราะการเมืองที่แล้วมาสามปีเป็นแบบ “ขวาพิฆาตประชาธิปไตย” ใครรับอุปถัมภ์ไว้เป็นซวยทุกคน ไม่ว่าหน้าไหนทั้งนั้น

จึงขอเตือน มายังคนที่ชอบกล่าวหาคนอื่นเรื่อง “ล้มเจ้า” ว่า หากเจตนาคือการรักษาสถาบันพระมหากษัตริย์ จงหยุดการกระทำเช่นนี้ในทันที แต่ถ้าเจตนาเร้นลับคือการทำให้สถาบันฯ เสียหาย ก็ขอให้คณะบุคคลที่เกี่ยวข้องกับสถาบันฯ พิจารณาโดยใช้สติปัญญาอย่างแยบคาย หรือ โยนิโสมนสิการ

ขนาดยอมให้โจรมาจัดงานที่เรียกว่ามหามงคล จะช่วยเสริมหรือทำให้ทรุด ใช้พุทธปัญญากันเอาเอง.


ปก ป้องสถาบัน?-นับแต่สนธิ ลิ้มทองกุล และขบวนการเสื้อเหลืองใช้สถาบันเป็นเครื่องมือทางการเมือง เพื่อชัยชนะของตนเอง และอ้างว่าปกป้องสถาบัน ทั้งกล่าวหาว่าทักษิณและฝ่ายเรียกร้องประชาธิปไตยต้องการล้มสถาบัน ก็ทำให้กระทบกระเทือนต่อเบื้องสูงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ การเมืองไทย

เธอผู้นี้เพิ่งถูกตัดสินจำคุกถึง 18 ปี



ใน หน้า A5 ของหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ฉบับวันที่ 29 สิงหาคม 2552 มีภาพขาวดำขนาดประมาณ 1x1 นิ้ว ของหญิงคนหนึ่ง เธอกำลังยิ้ม ตั้งท่าราวกับหญิงงามในภาพวาดอันโด่งดังของ เลโอนาร์โด ดา วินชี --โมนา ลิซ่า

แต่สิ่งที่ออกจะต่างกันอยู่สักหน่อยคือ เธอผู้นี้เพิ่งถูกตัดสินจำคุกถึง 18 ปีในข้อหา ดูหมิ่นกษัตริย์!

ใช่แล้ว เธอคือ ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือที่รู้จักกันดีในนาม ดา ตอร์ปิโด

ประเทศ ไทย: หมิ่นกษัตริย์ -- ถูกจำคุก 18 ปีคือพาดหัวข่าวของรายงานข่าว ยาวสองย่อหน้าของ The New York Times ชิ้นนี้ ซึ่งเขียนโดยโทมัส ฟูลเลอร์ ผู้สื่อข่าวประจำประเทศไทย

(คุณสามารถอ่านข่าวเวอร์ชั่นออนไลน์ได้ที่นิวยอร์กไทม์

นัก เคลื่อนไหวทางการเมืองถูกตัดสินจำคุก 18 ปีเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ในข้อหาทำลาย ชื่อเสียงและเกียรติยศของกษัตริย์และราชินีไทย ซึ่งคดีนี้เป็นหนึ่งในอีกหลายคดีที่เกี่ยวกับการดูหมิ่นสถาบันกษัตริย์ ผู้พิพากษาทั้งสามคนกล่าวว่า ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ผู้ซึ่งเป็นอดีตนักข่าว ได้กล่าวพาดพิงถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ . . . [ผู้เขียนเซ็นเซอร์คำออกหนึ่งคำ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ] . . . รัฐประหารเพื่อล้มอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร ซึ่งดารณีกล่าวว่า เธอจะยื่นอุทธรณ์

ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุ ภาพที่เข้มงวดมาเป็นเวลายาวนาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่มีวิกฤติทางการเมืองในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผนวกกับความกังวลถึงพระพลานามัยของกษัตริย์ผู้ทรงเจริญพระชนมายุ 81 พรรษา กฎหมายนี้ก็ถูกนำมาบังคับใช้บ่อยจนเป็นเรื่องปกติ

เมื่อได้อ่านข่าวนี้แล้ว คุณผู้อ่านที่รักเห็นว่าอย่างไรบ้าง

เพื่อน ของผู้เขียนคนหนึ่ง ซึ่งเป็นหญิงชาวอเมริกันผิวขาว จบการศึกษาจากมหาวิทยาลัยชั้นแนวหน้าของสหรัฐฯ กล่าวว่า ข่าวของดาทำให้เธอนึกถึงประเทศเกาหลีเหนือ

มันตลกมาก . . . ฉันหมายความว่า มันทำให้ฉันขนลุก ในยุคนี้ เธอไม่น่าต้องเข้าคุกถึง 18 ปีเพราะการดูหมิ่นกษัตริย์

ล้าหลัง . . .

มันไร้สาระจริงๆ . . .

ยุคมืด . . . มันบั่นทอนประชาธิปไตย

เธอขอที่จะไม่เปิดเผยชื่อ (เพื่อที่เธอจะได้มาพักผ่อนในช่วงวันหยุดในประเทศไทยได้อย่างไม่มีปัญหา)

คนต่อมา: เพื่อนร่วมงานหญิงชาวนิวซีแลนด์

มัน เป็นการทำเรื่องเล็กให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ ฉันคิดว่า มันเป็นเรื่องน่าขัน และมันก็ได้ทำให้ประเทศไทยดูแย่มากๆ ในตอนนี้ ถ้า [มีกฎหมายอย่างนี้] ในประเทศอังกฤษ คนกว่าครึ่งประเทศคงต้องเข้าคุกไปแล้วกระมัง ฉันสงสัยว่า การมีกฎหมายแบบนี้ ราวกับว่าพวกเขา . . . [ผู้เขียนเซ็นเซอร์คำพูดของเธอออกไปสามคำ] . . .. เบื้องหลัง ถ้าพวกเขาเป็นกษัตริย์ที่ดีและเป็นบุคคลที่น่าเคารพยกย่อง ก็ไม่สำคัญเลยว่าใครจะพูดอะไร

มันเหมือนกับว่า . . . [ผู้เขียนเซ็นเซอร์คำไปสี่คำ] . . . ซ่อนอยู่

เพื่อนร่วมงานชาวเม็กซิกันอีกคนหนึ่งกล่าวว่า

ฉัน คิดว่า มันเป็นเรื่องน่าอดสู จากมุมมองของตะวันตก มันเป็นความอัปยศอดสูของคนไทยที่ไม่สามารถพูด ... [ผู้เขียนเซ็นเซอร์คำหนึ่งคำ] ... ที่ได้รับรู้มาได้ และทำให้คำพูดเหล่านั้นเป็นที่รับรู้มากขึ้น พวกเขาจะทำลายตัวเองเพราะแบบนี้ การทำเช่นนี้ทำให้คำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้นมีพลังยิ่งขึ้น มันกลายเป็นรูปแบบหนึ่งของการควบคุมทางสังคมไปแล้ว

แต่ถ้าในที่สุดแล้ว ดาเลือกที่จะขอพระราชทานอภัยโทษ ดาก็ได้รับโทษจำคุกไปถึงหนึ่งปีแล้วใช่หรือไม่

เรา ต้องพิจารณาว่า กรณีของดายังคงทำให้อีกหลายๆ คนคิดว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเป็นอุปสรรคต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น และความเท่าเทียมภายใต้กฎหมายของระบอบ ประชาธิปไตยและมีผลเสียต่อความสามารถในการแสดงความคิดเห็น คิด พูด และเขียนของคนไทยมากน้อยแค่ไหน

หากถามต่อว่า กฎหมายหมิ่นบรมเดชานุภาพมีผลกระทบต่อสมองส่วนไหนของคนไทย นั่นก็คงต้องให้ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองเป็นผู้ตอบ แต่ถ้าถามคนไทยผู้มีใจรักเสรีภาพ รักการแสดงความคิดเห็นและความเท่าเทียมแล้วล่ะก็ พวกเขาคงต้องตอบว่า มัน ทำร้ายจิตวิญญาณของพวกเขาอย่างมาก

แม้ว่าบางสิ่งที่ดาพูดอาจจะ หยาบคาย และอาจก่อให้เกิดความเข้าใจผิด หากแต่อนาคตจะเป็นเช่นไร ถ้าคนในสังคมถูกปิดปากและกดขี่ด้วยกฎหมายเช่นนี้

กฎหมายหมิ่นพระบรม เดชานุภาพ ยิ่งทำให้ความกลัวฝังรากลึกลงในสังคมไทย และยิ่งทำให้สถาบันกษัตริย์ถูกเชิดชูยกย่องอย่างไม่ลืมหูลืมตา ซึ่งประชาชนไทยควรถามตัวเองว่า นี่คือสิ่งที่เขาสามารถหรือควรที่จะภูมิใจหรือไม่

ใครจะสามารถภูมิใจ ที่ประเทศเรามีกฎหมายอย่างนี้ได้ กฎหมายที่มีบทลงโทษรุนแรงเช่นนี้ ทำให้ประชาธิปไตยของไทยก้าวหน้าได้หรือ และกฎหมายนี้ได้ส่งผลเสียต่อการคิดวิเคราะห์ของคุณใช่หรือไม่


วันเสาร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2553

เมื่อเจ้าโดนวางยา


มีคำถามมากมายเรื่อง กฎมนเทียนบาล ของการครองราชย์ ของ ราชวงศ์ต่าง ๆว่า

1.ทำไมถึงห้ามกษัตริย์แต่งงานกับตระกูลอื่นทั้งที่ทำให้พระโอรสร่างกายไม่สมบูรณ์

2.ทำไมถึงให้ความสำคัญกับคนใกล้ชิดกับขุนนาง องคมนตรีมากเกินควร

เรื่องราวการวางยา ของคนในราชสำนักในทุกประเทศคล้ายกัน ใครเป็นคนคิดใครเป็นคนทำ อันนี้ดูได้จากเมื่อ กษัตริย์ เป็นอะไรไปคนที่ได้รับผลประโยชน์คือผู้ที่วางยานั้นคือคนใกล้ชิด ขุนนางทั้งหลาย หลายครั้งกษัตริย์เองพยายามที่จะเปลี่ยนกฎมนเทียนบาลต่างๆ ที่ไม่ดี มีผลกับตนก็โดนองคมนตรี ขุนนางเหล่าขัดขวาง ว่าผิด กฎมนเทียนบาล ผิดผี

ตัวอย่างที่1 เช่นเมื่อต้นรัชการใหม่ ส่วนใหญ่คนที่เป็นกษัตริย์ก็คือ ขุนนาง (เชื้อพระวงศ์ เก่า )เมื่อห้ามให้มีการแต่งงานกับคนนอกราชวงศ์ บุตรโอรสที่ออกมาก็เริ่ม พิการในแต่ละรุ่นยิ่งโอกาสมีมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ราชวงศ์ สูญผู้แข็งแรงและปกติ น้อยลง ทำให้ขุนนางเหล่านั้นแอบอ้าง ชักใยได้ง่ายเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัวของเหล่าอำมาต ยิ่งไปกว่านั้น ถ้าเกิดหาผู้สืบสมบัติไม่ได้ การแย่งชิงอำนาจเพื่อเป็นราชวงศ์ ใหม่เกิดขึ้น

ใครเป็นราชวงศ์ใหม่ แน่นอนเหล่าอำมาตนั่นเอง

ตัวอย่างที่2 การที่ไม่ให้กษัติย์ พบปะประชาชนโดยตรง เหล่าอำมาตนี้ต้องการ แอบอ้างราชอำนาจของพระองค์กลั่นแกล้งราษฎรยิ่งทำให้ พระองค์ทรงเสื่อมเสียเป็นที่รังเกียจแก่ราษฎร อาจจะหนักถึงการ ล่มสลายได้ในทุกประเทศที่เคยปกครองด้วยระบอบกษัตริย์ (ฝรั่งเศส รัสเซีย เนปาล อิร่าน แทบทุกประเทศเลย)

ตัวอย่างที่3 การเว้นช่องว่างของอำนาจสูงสุด คือ กษัตริย์ ให้มีการสำเร็จอำนาจ ทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดี นั่นคืออำมาตนั่นเอง

ไม่ว่าอำมาตผู้นั่นจะดีสุดท้ายแล้วก็เกิดการสมยอมกับ เหล่าอำมาตกลุ่มนั้นอยู่ดี

ย้ำการล่มสลายของระบอบนี้มีมาแล้วทุกประเทศ เพราะการวางยาของเหล่าอำมาต ประเทศที่รอดมาได้(ญี่ปุ่น อังกฤษ)เพราะอะไรมาดูกัน(ทางแก้)

  1. ยกเลิกไปเลย ของเหล่าอำมาตองคมนตรี ให้เป็นหน้าที่ของสภาที่มากจากประชาชน (ญี่ปุ่น)หรือ ปรับคนเหล่านี้เข้าสภาที่มีเสียงเท่ากับ คนที่ประชาชนเลือกมา เช่นสภาขุนนาง (สภา LORD อังกฤษแต่สืบทอดได้ แต่ก็ส่วนน้อย)ประเทศไทยยังไม่ทำ!!.
  2. ให้เป็นกฎมายถาวร ว่าการลืบต่อราชบังลังค์ เป็นหน้าทีของ ราชวงศ์(พ่อแม่ ลูก หลาน เท่านั้น) ไม่รวมคนนอกและราชวงศ์สกุลอื่น ประเทศไทยยังไม่ทำ!!(กฎหมายสูงสุดยังแก้ได้ตลอดเมื่อมีการรัฐประการ ต้องห้ามมีการฉีกรัฐธรรมนูญ)
  3. การแต่งงาน ของนอกราชวงศ์ กับบุคคลธรรมดาให้เกิดขึ้นได้ ไม่ว่าจะเป็นกฎหมายหรือประเพณี(ยิ่งมีกฎหมายห้ามแต่งงานกับเชื้อราชวงศ์ไปเลย)ญี่ปุ่นทำแล้ว เจ้าหญิงตัวน้อยแข็งแรง เป็น เชื่อจากบุคลธรรมดา อังกฤษ เลดี้ไดเอน่า บุคคลธรรมดาประเทศไทยยังไม่ทำ!!
  4. ทำกองทัพเป็นทหารอาชีพ โดยผู้บังคับกองทัพเป็นคนธรรมดา(US ญี่ปุ่น )
  5. อีกหลายเรื่อง ง่ายมาก เปิด รธน. ญี่ปุ่นเลย

แต่ปัญหาไม่ใช่ความไม่เข้าใจ ความไม่รู้ แต่ปัญหาเกิดจากการที่เหล่าอำมาตเหล่านี้วางยา ให้คนไทยแตกแยก เพื่อเอาตัวเองขึ้นมาเป็นราชวงศ์ต่อไป แต่เมื่อคนไทยแตกเป็น 2 สี จะไม่มีใครยอมเปลี่ยน เพราะทั้งหมด มันเป็นความต้องการของคนเสื้อแดง แต่ถ้าสีเหลือง สีขาว สีเขียว คิดว่าเป็นความต้องการของคนเสื้อแดงจะ คิดแย้ง ทั้งที่ เป็นสิ่งที่ถูกต้อง ก็จะไม่เห็นด้วย ถึงคุณจะเห็นด้วย แต่ไม่ต้องการใส่เสื้อแดง คุณทำได้

  • ให้ข่าวที่ดี กับคนเสื้อแดง
  • บอกความต้องการของเสื้อแดงออกไป
  • ช่วยกันขจัดกลุ่มอำมาตเหล่านี้ออกไปหรือให้สูญไปถึงจะเป็นความต้องการของราชวงศ์ ก็ต้องยกเลิกเพราะท่านโดนกลุ่มคนพวกนี้บังคับ และ แอบอ้างอยู่

ใช่บางที่ของดีมันต้องมีของแถม ได้ทักษิณกลับมาบางคนเกลียดทักษิณ บางคนไม่ต้องการ กล่าวหาเพราะโดนพวกอำมาตหลอกมากว่า 4 ปี อย่าลืมว่าทักษิณคือ นักเรียนตำรวจ มันท่องทุกวัน ว่าต้องจงรักภักดีท่องวัน หลายเที่ยวมากว่า หลายสิบปี คนนี้วางใจได้ แต่ถ้าไม่ชอบไล่มันไม่ยาก แต่อำมาตคุณไล่ยากต้องรอนานหรือไม่มีโอกาสเลย

คุณต้องทราบอีกว่า เงินทั้งประเทศ 80 เปอร์เซ็นอยู่ในคนกลุ่มนี้ ทั้งที่มีคนอยู่ไม่กี่คน แต่เงินอีก 20เปอร์เซ็น คนไทย 99 เปอร์เซ็นได้แค่เศษเงิน

ใครว่าเสื้อแดงล้มเจ้า เสื้อแดงจะเอาอะไรมาล้ม ประชาชนจะล้มได้ไง กองทัพไม่มี อาวุธ น้อยไม่ความเป็นไปได้เลย

แต่ถ้าเป็นกลุ่มคนเหล่า นี้ อำมาต กองทัพ ถ้าเขาทำทำง่ายมาก